วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมื่อรู้สาเหตุของโรคมะเร็ง บอกเลย "มะเร็งไม่เป็นก็ได้" นะรู้ยัง??


       มีความพยายามมากมายที่จะอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดโรค "มะเร็ง" หนึ่งในนั้นก็มีสถาบันจอนส์ ฮอปกิ้นส์(สถาบันระดับโลกที่ได้รับการยอมรับในด้านการศึกษาโรคมะเร็ง) ที่ล่าสุดได้ออกมาแถลงผลการวิจัยผ่านทางวรสารทางการแพทย์ ซึ่งในครั้งนี้กลับให้คำตอบต่างไปจากครั้งที่ผ่านๆมา โดยออกมาบอกว่ามะเร็งนั้นเกิดจากความ "โชคร้าย" และไม่สามารถป้องกันได้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับลักษณะของการใช้ชีวิต หรือแม้กระทั่งพันธุกรรม เปิดดูคลิป https://www.youtube.com/watch?v=Gl0RAxekTwE

       ข้อเท็จจริงจากการวิจัยเชิงทดลองนั้น ได้อธิบายถึงสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างมีเหตุผลได้อย่างน่าสนใจ ว่าแท้ที่จริงแล้วสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งนั้นเกิดจาก

1 กระดูก ตรงแกนกลางของกระดูกเราเรียกว่า "ไขกระดูก" ซึ่งมีหน้าที่ผลิตเม็ดเลือดทั้งเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดง เมื่อไรก็ตามที่เกิดความผิดปกติขึ้นก็จะทำให้ผลิตเม็ดเลือดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเลือดแดงบางส่วนผิดปกติ

2 อนุมูลอิสระแท้จริง เม็ดเลือดที่ผิดปกตินั้นไม่สามารถผ่านกระบวนการคัดกรองของร่างกาย จึงไม่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ และมีการสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เม็ดเลือดพวกนี้ก็จัดเป็นเซลล์ที่มีชีวิตย่อมต้องการทั้งอาหารและที่อยู่เพื่อการการอยู่รอด จึงเคลื่อนย้ายไปยังส่วนต่างๆของร่างกายเราเรียกเม็ดเลือดที่ผิดปกติเหล่านี้ว่า "อนุมูลอิสระแท้จริง"

3 การแฝงตัวของอนุมูลอิสระแท้จริง เมื่ออนุมูลอิสระแท้จริงเหล่านี้เคลื่อนย้ายไปยังอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งและบริเวณมีเนื้อเยื่อที่มีภาวะเหมาะสม มันก็จะเข้าไปกินโปรตีนจากเซลล์เนื้อเยื่อบริเวณนั้น และเนื่องมันจากมีแอนติเจน(ปุ่มโปรตีนของเซลล์) ที่ตรงกันกับเซลล์ดีตรงนั้นก็เกิดการจับตัวกันขึ้น และมีการแลกเปลี่ยน DNA ที่ผิดปกติกันในที่สุด

4 การก่อตัวของเซลล์มะเร็ง จากการที่เซลล์ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระแท้จริง ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเกิดความเสียหาย ดังนั้นกลไกของร่างกายก็จะต้องทำการซ่อมแซมโดยการแบ่งตัวของเซลล์บริเวณนั้นนั่นเอง แต่เนื่องจากการแบ่งตัวในครั้งนี้เกิดจากเซลล์ที่มีการแลกเปลี่ยน DNA ที่ผิดปกติมาก่อนหน้า เซลล์ที่แบ่งตัวออกมาใหม่ก็มีความผิดปกติด้วยเช่นกัน เราเรียกเซลล์ที่ผิดปกติอันใหม่นี้ว่า "เซลล์มะเร็ง" 

       จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงนำไปสู่กระบวนการป้องกันมะเร็งที่น่าจะได้ผลเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือคุณจะต้องดูแลใน 2 ภาคส่วนด้วยกันคือ

1 ดูแลกระดูกให้แข็งแรง เป็นที่ทราบกันดีว่า "แคลเซียม" คือแร่ธาตุที่ใช้ในการบำรุงและดูแลกระดูก แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าแหล่งแคลเซียมที่ดีที่สุดนั้นอยู่ใน "โคลโรฟิล" หรือสารสีเขียวในพืช ดังนั้นควรหมั่นรับประทานผักสด ผลไม้สดเป็นประจำและในปริมาณที่มากพอ ท่านก็จะมีกระดูกที่แข็งแรง

2 ดูแลระบบภูมิคุ้มกันไมโครไบโอต้า(คลิปเรียนรู้ระบบภูมิคุ้มกัน) ซึ่งมี "โปรไบโอติก" เป็นองค์ประกอบหลัก และร่างกายใช้ระบบภูมิคุ้มกันนี้ถึง 80% ดังนั้นหากดูแลระบบไมโครไบโอต้าดี ก็จะส่งผลถึงระบบ "ออโต อิมมูน ซิสเตม" ให้ดีตามไปด้วย

        หากวันนี้คุณดูแลทั้ง 2 ปัจจัยที่ว่าให้กับตัวคุณเองและคนที่คุณรักได้อย่างดีขอบอกได้เลยว่าชีวิตนี้ "มะเร็งไม่เป็นก็ได้" 








วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ชัดเจนมาก! ความเกี่ยวดองอันน่าประหลาดใจและผลการทดลองอันน่าทึ่งเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้

           


          ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา และแพทย์ภูมิคุ้มกันวิทยาพยายามกันอย่างหนักที่จะเข้าใจมัน ปรากฎการณ์สำคัญอย่างหนึ่งคือ มีพื้นที่ในโลกที่มีคนป่วยเป็นโรคพวกนี้มากขึ้น ในขณะบางพื้นที่มีจำนวนน้อย และตัวเลขดังกล่าวไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้อมูลสถิติได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันระหว่างโรคทั้งสองกับการใช้ยาปฏิชีวนะ แต่แล้วมันไปเกี่ยวข้องได้อย่างไรกันล่ะ

การทดลองอันแปลกประหลาด
          ในปี 2002 ด๊อกเตอร์ไมริ โนเวอร์ หนึ่งในนักวิจัยประจำห้องทดลอง ที่ศูนย์การแพทย์มิชิแกนทำการวิจัยเกี่ยวกับยีสต์ แคนดิด้า อัลบิคันส์ ซึ่งมีการค้นพบก่อนหน้านี้โดยนักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัยว่า ยีสต์ตัวนี้สามารถหลั่งสารเคมีที่ทำให้เกิดการสื่อสารกับระบบภูมิคุ้กันของเราได้  ตามปกติยีสต์พวกนี้จะมีจำนวนน้อยในร่างกายมนุษย์ แต่เนื่องจากทนทานต่อยาปฏิชีวนะได้ จึงทำให้มันสามารถเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในขณะที่จุลินทรีย์พวกอื่นถูกทำลายไปด้วยยาปฏิชีวนะที่รับประทานเข้าไปเพื่อบำบัดโรค 
          ข้อมูลทางสถิติแสดงความเกี่ยวข้องระหว่างการได้รับยาปฏิชีวนะกับการเกิดโรคหอบหืดภูมิแพ้นั้น กระตุ้นให้ด๊อกเตอร์แกรี่ บี. ฮัฟฟ์นาเกิล(ผู้วิจัยเจ้าของหนังสือ Probiotics Revolution) เกิดความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหนูที่ได้รับยาปฏิชีวนะ พวกหนูควรจะมีจำนวนยีสต์เพิ่มมากขึ้น และยีสต์นั้นก็ควรจะหลั่งสารเคมีออกมามากขึ้นด้วย ในขณะที่จำนวนของ โปรไบโอติก(คลิกเพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติม)น่าจะต้องลดลง สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างยาปฏิชีวนะและโรคภูมิแพ้
          นักวิจัยจำนวนมากหาทางทำให้หนูเกิดอาการแพ้ในระบบทางเดินหายใจได้แล้ว แต่วิธีเหล่านี้ต้องปรับยีนหรือฉีดสารเข้าไปในร่างกายของหนูเพื่อกระตุ้นให้เกิดอาการ ยังไม่มีมีใครสามารถทำให้หนูเกิดอาการภูมิแพ้อย่างที่มนุษย์เป็นได้ กล่าวคือ แบบที่เกิดอาการเมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมหนึ่งแล้วหายใจเอาสารหรือสิ่งที่แพ้เข้าไป 
          ผู้ร่วมงานของด๊อกเตอร์แกรี่ บี. ฮัฟฟ์นาเกิลบางคนรวมถึง ดร.ไมริ โนเวอร์ ต่างก็เชื่อว่าหนูมีจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ที่ช่วยไม่ให้เกิดอาการภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ จึงได้ออกแบบการทดลองโดยแบ่งหนูเป็น 2 กลุ่ม
          กลุ่มที่ 1 ได้รับการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าไปเพื่อหวังจะทำลายจุลินทรีย์ในลำไส้ของหนูหรืออย่างน้อยก็ทำให้จุลินทรีย์พวกนั้นมีจำนวนลดลง
          กลุ่มที่ 2 ไม่ได้รับยา
หลังจากหนูกลุ่มแรกได้รับยาเป็นเวลาครบ 5 วัน หนูทั้งหมดก็ถูกนำไปไว้ในที่ซึ่งมีสิ่งก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้หนูหายใจเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปเป็นเวลา 2 สัปดาห์
          ผลลัพธ์ที่ได้น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะพวกหนูที่ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะไม่มีอาการใด ในขณะที่หนูซึ่งได้รับยาปฏิชีวนะกลับแสดงอาการของภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ การทดลองของเรายืนยันว่าจุลชีพในลำไส้มีผลกระทบต่อกากรตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย หลังจากมีผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแล้ว การค้นพบที่น่าตื่นเต้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร “การติดเชื้อและภูมิคุ้มกัน” (Infection and Immunity) ซึ่งเป็นวารสารเฉพาะทางด้านการวิจัยโรคติดเชื้อของสมาคมจุลชีววิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (American Society for Microbiology)

ความสัมพันธ์ของโปรไบโอติก
         หลักการด้านภูมิคุ้มกันในปัจจุบันได้เปิดทางให้กับการปฏิวัติของโปรไบโอติก การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเปรียบได้กับการทำงานของคันเร่งและเบรกในรถยนต์ เมื่อกดคันเร่ง ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองทำให้เกิดการบวมอักเสบเพื่อกันและทำลายเป้าหมาย และอาการนี้จะเกิดต่อๆไปจนกระทั่งมีการเหยียบเบรกเพื่อยุติ มิฉะนั้นแล้วปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันจะดำเนินต่อไปจนก่อความเสียหายเจ็บป่วยเป็นโรคแทนที่จะป้องกันมัน
         เป็นที่รู้แน่ชัดจากการทดลองของเราแล้วว่า การทำลายโปรไบโอติกในลำไส้จะไปกระตุ้นคันเร่งของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น การมีมันอยู่ก็เท่ากับการติดเบรกให้กับระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำงานว่องไวเกินจำเป็น



Credit: The Probiotics Revolution
            Gary B. Huffnagle, Ph.D.
            Sarah Wernick เขียน
            บุญส่ง รักวิริยะ แปล

www.maxlifenetwork.com
www.facebook.com/maximumlifeprobiotic
เรียนรู้ระบบภูมิคุ้มกัน

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

6 ข้อที่ควรปฏิบัติ แล้วคุณจะนอนหลับง่ายขึ้น zzZ zzZ !!!





           การนอนหลับเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้คน ถ้ามีโอกาสเลือกได้คนเราจะเลือกที่นอนที่สบายที่สุดให้กับตัวเองเสมอ แต่ในบางครั้งแม้ว่าห้องนอนจะสบายสักเพียงใดก็ตาม ก็ยังมีผู้ที่ประสบกับปัญหาภาวะ "นอนไม่หลับ" หรือนอนหลับยาก บางรายถึงขั้นจะต้องพึ่งพา ยานอนหลับ เพื่อช่วยให้นอนหลับ แต่เมืื่อใช้ไปนานๆก็จะเกิดการดื้อยาถึงแม้จะรับประทานยานอนหลับก็ไม่สามารถนอนหลับได้เช่นเดิม ปัจจัยทางกายภาพที่มีความสำคัญที่สุดต่อการนอนหลับคือฮอร์โมน เมลาโทนิน  ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้เพื่อให้ร่างกายนอนหลับ ในเด็กจะมีการหลั่ง เมลาโทนิน มากกว่าในผู้สูงอายุดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่ระดับของ เมลาโทนิน นั้นน้อยหรือไม่มีการหลั่งเกิดขึ้นก็จะส่งผลโดยตรงต่อการนอนหลับนั่นเอง กระนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลต่อคุณภาพของการนอน ต่อไปนี้คือ... การทำให้นอนหลับของคุณง่ายขึ้น

1 ดื่มนมไม่พร่องมันเนยผสมน้ำผึ้ง การที่ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน เมลาโทนิน ได้นั้นต้องอาศัยวัตถุดิบในการผลิต "ไขมันนม" จากนมที่ไม่พร่องไขมัน กับ แลคโทสและฟลุกโทส ในน้ำผึ้ง จะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ดีที่สุดในการผลิต เมลาโทนิน ดังนั้นในผู้ที่นอนหลับยากลองดื่มนมผสมน้ำผึ้ง ปริมาณ 1 แก้วก่อนนอน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 7-15 วันและดื่มติดต่อกันเป็นประจำ ก็จะทำให้นอนหลับได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ

การออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้การนอนหลับดี
ขึ้น มีผลงานวิจัยมากมายที่ยืนยันว่า การออกกำลังกายทุกวันอย่าง
้อยครั้งละ 20-30 นาทีหรืออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็สามารถช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรออกกำลังกายหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน อย่างไรก็ตามควรออกกำลังกายให้ห่างจากช่วงเข้านอน อย่างน้อย 3 ชั่วโมงเพราะการออกกำลังกาย ใกล้ช่วงเข้านอนมากเกินไปจะยิ่งทำให้ร่างกายตื่นตัว คุณภาพการนอนก็จะไม่ดีตามไปด้วย

3 ไม่ควรงีบหลับในตอนเย็น หากเกิดอาการง่วงนอนในเวลาที่ไม่ใช่เวลาเข้านอน โดยเฉพาะในตอนเย็น ควรอดทนรอให้ถึงเวลาเข้านอนเพราะการงีบจะทำให้ร่างกายรู้สึกว่าได้รับการพักผ่อนแล้วกลางคืนจะยิ่งหลับยากมากขึ้

 งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม โกโก้ เพราะสารนิโคตินและคาเฟอีนจะไปกระตุ้นการทำงานของสมอง จึงมีผลโดยตรงต่อการนอนไม่หลับ

5 การรับประทานอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเย็น หรือ อาหารมื้อหนักก่อนเข้านอนควรเว้นระยะเวลาทานอาหารเย็นกับเวลาก่อนเข้านอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมงเพราะการรับประทานอาหารใกล้เวลานอนจะทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักเพื่อย่อยอาหาร ส่งผลให้เกิดการนอนที่ไม่มีคุณภาพ จนนำไปสู่การนอนไม่หลับได้หากมีอาการหิวจริงๆก่อนเข้านอน แนะนำว่าควรทานอาหารเบาๆเท่านั้น เช่น นมอุ่นๆผสมน้ำผึ้ง

6 จัดห้องนอนให้เหมาะสม ห้องนอนที่ดีควรมีอุณหภูมิที่พอดี มีเครื่องนอนเช่น หมอนและผ้าห่มที่สร้างความสบายและผ่อนคลายนอนในห้องที่ไม่มีเสียงดังรบกวนจนเกินไป ควรนอนในห้องที่มืดสนิทไม่ควรนอนเปิดไฟหรือโทรทัศน์

อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับนั้น จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับสมดุลของร่างกาย ดังนั้นควรปฏิบัติอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือน และจะได้ผลอย่างยั่งยืนหากปฏิบัติได้ 6 เดือนขึ้นไป 


วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

7 คุณสมบัติของสับปะรด ที่เป็นสับปะรด!!

             

       
            "สับปะรด" เป็นผลไม้ที่สามารถหารับประทานกันได้ทุกฤดูกาล เราบริโภคสับปะรดกันอยู่เป็นประจำ เชื่อหรือไม่ว่านอกจากจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติดีแล้ว สัปปะรด  ยังอุดมไปด้วย คาร์โบไฮเดรต วิตามิน C วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน B3 วิตามิน B5 วิตามิน B6 กรดโฟลิก ธาตุแคลเซียม ธาตุโปรแตสเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุแมงกานีส ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก ธาตุสังกะสี และที่สำคุญที่สุดสับปะรดนั้นมีเอนไซม์ที่ชื่อ "โบรมีเลน" อยู่ในปริมาณสูงและมีประโยชน์ต่อร่างกายชนิดที่คุณคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียว ต่อไปนี้คือประโยชน์อันน่าทึ่งของสับปะรด

ช่วยรักษาโรคนิ่ว โรคนิ่วนั้นเกิดได้หลายสาเหตุ ทั้งปัจจัยของสิ่งแวดล้อม กระบวนการเมธาบอรึซึ่ม หรือแม้กระทั้งพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร กระบวนการเกิดนิ่วนั้นส่วนมากเกิดจากการก่อตัวของแร่ธาตุจนเป็นผลึก เช่น แคลเซี่ยมออกซาเลต แคลเซียมฟอสเฟต ยูเรต แมกนีเซี่ยมแอมโมเนี่ยมฟอสเฟต เป็นต้น การก่อตัวของแร่ธาตุเหล่านี้พบมากบริเวณทางเดินปัสสาวะ ไต และถุงน้ำดี อย่างไรก็ตามเอนไซม์ "โบรมีเลน" ในสับปะรดมีคุณสมบัติในการย่อยสลายนิ่วได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่อวัยวะส่วนไหนก็ตาม แค่เพียงรับประทานสัปปะรด 2-3 ชิ้นหลังอาหารทุกมื้อติดต่อกันเป็นเวลา 15-20 วัน เท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดสลายนิ่วแล้ว ในคนปกติหากรับประทานสับปะรดเป็นประจำก็บอกลาโรคนิ่วไปได้เลย

2 ช่วยปรับสมดุลของเกลือในร่างกาย โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะโรคไตมักมีอาการบวม ซึ่งเกิดจากความไม่สมดุลของเกลือ 2 ชนิดคือ "โปรแตสเซียมคลอไรด์" กับ "โซเดียมคลอไรด์"  และในสับปะรดนั้นก็อุดมไปด้วย โปรแตสเซียมคลอไรด์ ดังนั้นการรับประทานสัปปะรดจิ้มเกลือจะช่วยให้รักษาสมดุลของเกลือในร่างกายได้เป็นอย่างดี 


3 ช่วยขับประจําเดือน เอนไซม์ "โบรมีเลน" ในสับปะรดนอกจากจะมีคุณสมบัติในการสลายนิ่วแล้ว ยังไปช่วยย่อยสลายโปรตีนที่ผนังมดลูก ทำให้การผลัดเปลี่ยนและขับผนังมดลูกในผู้หญิงนั้นทำได้ง่ายขึ้น


4 ช่วยบรรเทาภาวะกระดูกงอก ผู้ที่รับประทานอาหารเสริมโดยเฉพาะในกลุ่ม "แคลเซียม" เป็นประจำและในปริมาณที่มากเกินไปนั้น ระยะยาวมักพบว่าจะมีภาวะ "กระดูกงอก" เกิดขึ้นเสมอ แล้วก็เป็นเอนไซม์ "โบรมีเลน" ในสับปะรดอีกแล้ว ที่ช่วยแก้ปัญหานี้โดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอ

5 ช่วยในกระบวนการย่อยอาหาร หากคุณรู้สึกอึกอัด ไม่สบายท้องหลังจากที่รับประทานอาหาร ลองรับประทานสับปะรด หรือน้ำสับปะรด เพื่อให้ไปช่วยย่อย ก็จะทำให้อาการอึดอัดค่อยๆดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยปรับภาวะสมดุลในลำไส้ แก้อาการท้องผูก และระบบขับถ่ายไม่สะดวกได้อีกด้วย


6 ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใสอยู่เสมอ เนื่องจากสับปะรดนั้นอุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามิน B ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อเรื่องของระบบโลหิต และเอนไซม์ "โบรมีเลน" มีส่วนช่วยให้ผลึกแคลเซียมออกซาเลตที่เกาะตามตามผนังหลอดเลือดลดลงได้ ทำให้การไหลเวียนโลหิตเป็นไปได้ด้วยดี เมื่อทานสับปะรดเป็นประจำผลพลอยได้ก็คือความเปล่งปลั่งนั่นเอง

ช่วยแก้ปัญหาส้นเท้าแตก ในผู้ที่มีปัญหาส้นเท้าแตก ลองใช้เปลือกสับปะรดทาเป็นประจำวันละ 2-3 ครั้ง จะช่วยทำให้อาการส้นเท้าที่แตกดีขึ้นและทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นอ่อนนุ่มขึ้นด้วยแน่ะ

                                                     www.maxlifenetwork.com


วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โปรไบโอติกหรือจุลินทรีชนิดดี ไม่ได้อาศัยอยู่ในร่างกายเราเฉยๆแต่ทว่า......



 

      โปรไบโอติก Probiotic  ในความหมายทางวิชาการเรียกว่า “จุลชีพกำจัดจุลชีพก่อโรค” หรือที่เราเรียกกันว่า      จุลินทรีที่มีประโยชน์  โดยเราจะนับรวมไปถึงกลุ่มยีสต์ด้วยเช่นกัน  ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก(WHO)ได้ให้ความหมายโปรไบโอติกว่า  
                   “เป็นจุลชีพมีชีวิตที่เมื่อได้รับในปริมาณที่เพียงพอ จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย”

           จริงๆแล้วโปรไบโอติกไม่ได้อาศัยอยู่ในร่างกายเฉยๆเท่านั้น แต่เค้าจะทำงานแลกเปลี่ยนกับอาหารซึ่งก็คือของเสียในร่างกายเรานั่นเอง ต่อไปนี้คือหน้าของโปรไบโอโอติกที่ท่านอาจไม่เคยรู้มาก่อน
1 ปะทะกับเชื้อโรคโดยตรง เนื่องจากโปรไบโอติกนั้นเป็นกำลังหลักในระบบภูมิคุ้มกันที่เรียกว่าระบบ "ไมโครไบโอต้า" มีอยู่ทั้งในระบบท่อและไม่ใช่ระบบท่อ เมื่อไรก็ตามที่มีสิ่งแปลกปลอมผ่านเข้ามา โปรไบโอติกมักจะเป็นปราการด่านแรกๆที่จะตรงเข้าไปปะทะและต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นก่อนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรค หรือเซลล์แปลกปลอมที่เกิดขึ้นจากร่างกายของเราเองก็ตาม
2 กระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน โปรไบโอติกจะมีการสื่อสารทางเคมีกับภูมิคุ้มกันระบบ "ออโต อิมมูน ซิสเตม" หรือเม็ดเลือดขาวให้สร้างภูมิคุ้มกันที่หลากหลาย ให้เหมาะสมกับศํตรูที่เข้ามาในร่างกายของเรา ดังนั้นร่างกายจึงจำเป็นจะต้อง มีความหลากหลายของโปรไบโอติกเพื่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่หลากหลายด้วยเช่นกัน
3 ผลิตวิตามินและเอนไซม์ ในการย่อยสลายของเสียในร่างกายโดยโปรไบโอติกบางกลุ่มนั้น  ผลพลอยได้ก็คือวิตามิน เช่น วิตามิน B วิตามมิน K เป็นต้น
4 ลดภาวะการอักเสบ เมื่อไรก็ตามที่่ร่างกายเกิดภาะวะอักเสบนั่นหมายถึง มีการทำงานของ "ฟาโกไซต์(คือเซลล์ที่คอยกินสิ่งแปลกปลอม) ทำงานร่วมกับเม็ดเลือดขาว เช่น ในกรณีบาดแผลติดเชื้อ โปรไบโอติกจะมีบทบาทสำคัญในกระบวนการที่จะช่วยทำงานร่วมต่อต้าน และเป็นตัวคอยส่งสัญญาณให้หยุดการทำงาน เนื่องจากได้ทำการกำจัดสิ่งแปลกปลอมเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง
5 กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว จุลชีพโดยเฉพาะในกลุ่มยีสต์บางชนิด มีความสัมพันธ์อย่างเห็นได้ชัดกับการเพิ่มขึ้นของของเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดง ถ้ามีอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม จุลชีพกลุ่มนี้จะเข้าไปกระตุ้นการสร้างเซลล์เยื่อกระดูก และเป็นตัวที่มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ไขกระดูกผลิตเม็ดเลือด และยังเป็นตัวช่วยส่งสัญญาณให้หยุดผลิตเมื่อมีปริมาณที่เพียงพอ
6 เชื่อมต่อระบบไร้ท่อ เนื่องจากแหล่งพำนักของโปรไบโอติกจะอยู่ที่ "ลำไส้" เป็นหลัก ดังนั้นย่อมจะส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของลำไส้ หากมีปริมาณของโปรไบโอติกที่เหมาะสมก็จะทำให้ลำไส้นั้นมีภาวะสมดุล จากงานวิจัยพบว่าการทำงานของลำไส้นั้นมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ "สมอง" ที่คอยควบคุมสั่งการให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากการทำงานของลำไส้ผิดปกติก็จะส่งผลต่อการทำงานของสมองด้วยเช่นกัน

www.maxlifenetwork.com
www.facebook.com/maximumlifeprobiotic