วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

โปรไบโอติกกับการแก้ปัญหาปวดหัวไมเกรนได้ง่ายๆ

    
   ปวดหัวไมเกรน ใครๆก็บอกว่าเป็นโรคเวรโรคกรรมค่ะ นั่นคือรักษาไม่หายต้องเป็นไปตลอดชีวิต
แพทย์ทำได้เพียงให้ยาเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น ซึ่งในทางการแพทย์นั้นยังไม่สามารถสรุปได้ถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค ปวดหัวไมเกรน  ได้อย่างแน่ชัด บ้างก็ว่าจากความเครียด อากาศร้อน อากาศเย็น เสียงดัง เส้นเลือดในสมองผิดปกติ หรือแม้แต่พันธุกรรม ตามระเบียบค่ะ

      หากแต่จากงานวิจัยเชิงทดลองได้ให้คำตอบของสาเหตุการเกิดของโรค ปวดหัวไมเกรน  ได้อย่างชัดเจนนั่นคือเกิดจาก ปลอกไมลีนชีท ที่เป็นสารคล้ายแว๊กซ์ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้หุ้มเส้นประสาทมีลักษณะเป็นท่อนๆนั้น เกิดการชำรุดเสียหาย หลุดลอกออกไป เปรียบเทียบก็เหมือนสายไฟที่ไม่มีฉนวนนั่นเองค่ะ ดังนั้นเมื่อกระแสประสาทซึ่งเป็นไฟฟ้าเคมีวิ่งผ่านบริเวณนั้น ก็ทำให้เกิดอาการคั่ง หรือ"ช้อต" เป็นที่ของอาการปวดหัวอย่างรุนแรงที่เรียกว่า ไมเกรน  ยังไงล่ะคะ ตราบใดที่ยังไม่ได้รับการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไมเกรน ก็ไม่มีทางหายไปได้ค่ะ

        แต่มีกลุ่มจุลชีพโปรไบโอติกกลุ่มหนึ่งที่ถูกเพาะเลี้ยงในสารคล้ายแวกส์ ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับ ปลอกไมลีนชีท ที่ห่อหุ้มเส้นประสาทนั่นเอง กลุ่มจุลชีพในกลุ่มนี้เมื่อเข้าไปในร่างกายก็จะนำพาเอาสารคล้ายแวกส์เข้าไปซ่อมแซม ปลอกไมลีนชีท ที่เสียหายให้กลับมาสู่สภาวะปกติ ช่วยแก้ปัญหา ปวดหัวไมเกรน ได้ที่ต้นเหตุเลยค่ะ

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

โปรไบโอติกกับการดูแลทารกในครรภ์ให้เกิดมาพร้อมระบบ "ภูมิคุ้มกัน" ที่สมบูรณ์





           เราพบว่าทุกวันนี้ปัญหาทารกที่เกิดมาพร้อมกับมีภาวะ "ภูมิแพ้" นั้นนับวันจะยิ่งพบบ่อยขึ้น เช่น แพ้โปรตีนในนม แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น แพ้เกสรดอกไม้ แพ้โปรตีนกลูเต็นในข้าวสาลี เป็นต้น สาเหตุที่สำคัญก็คือ ในขณะที่มารดาตั้งครรภ์อยู่นั้น มารดาไม่มีภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ ภูมิคุ้มกันในระบบ "ไมโครไบโอต้า" เพียงพอที่จะส่งต่อไปยังทารกที่อยู่ในครรภ์ ซึ่งในขณะที่ทารกยังอยู่ในครรภ์ ระบบภูมิคุ้มกัน "Auto Immune System" หรือ "ระบบเม็ดเลือดขาว" ของทารกนั้นยังไม่ทำงานนะคะ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับภูมิคุ้มกันจากมารดา การที่มารดาไม่มีภูมิคุ้มกันไมโครไบโอต้าส่งไปยังทารกนั้นสาเหตุก็สืบเนื่องมาจากการได้รับยา "ปฏิชีวนะ" ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไปขณะตั้งตั้งครรภ์ มีผลทำให้ระบบไมโครไบโอต้าของมารดาพร่องลงไปด้วยยังไงล่ะคะ

          ฉนั้นวันนี้จึงมีเรื่องราวดีๆที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้หญิงมีครรภ์หรือผู้ที่วางแผนจะมีบุตรในอนาคต มาแนะนำถึงวิธีการปฏิบัติตัวอย่างไรให้บุตรที่คลอดออกมานั้นแข็งแรง รวมถึงตัวมารดาเองก็แข็งแรงด้วยเช่นกัน เราขอแบ่งช่วงเวลาของการดูแลออกเป็นช่วงอายุครรภ์ดังนี้นะคะ

        1. เมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ได้ 1 เดือนเริ่มต้นเดือนที่ 2 เป็นต้นไปจนถึงคลอดเลยนะคะ มารดาจะต้องรับประทานวิตามิน B Complex ทุกวันวันละ 1 เม็ดตอนเช้า วิตามิน B จะช่วยบำรุงระบบเลือดของมารดาและทารก วิตามินกำหนดเลือด เลือดกำหนดชีวิตค่ะ

        2. เมื่ออายุครรภ์ครบ 3 เดือน เริ่มต้นเดือนที่ 4 เป็นต้นไปจนถึงคลอดเหมือนกันนะคะ  มารดาจะต้องได้รับกลุ่มจุลชีพ"โปรไบโอติก" ในกลุ่มที่เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในระบบ ไมโครไบโอต้า ทุกวันในตอนเช้าไม่เกินวันละ 1,000 มิลิกรัม เพื่อมาดารจะได้ส่งต่อระบบภูมิคุ้มกันชนิดนี้ไปยังทารกในครรภ์ เนื่องจากทารกยังไม่มีระบบภูมิคุ้มกันของตัวเอง ทางเดียวที่จะได้รับคือจะต้องเป็นระบบไม่โครไบโอต้าจากมารดาเท่านั้นค่ะ

        3. เมื่ออายุครรภ์ครบ 6 เดือน เริ่มต้นเดือนที่ 7 เป็นต้นไปจนถึงคลอดอีกเช่นกัน ระยะนี้เป็นระยะที่ทารกเริ่มมีการเสริมสร้างกระดูกและมีความต้องการใช้แคลเซียมเป็นจำนวนมาก และแหล่งแคลเซี่ยมที่ดีที่สุดคือ ในผักใบเขียว ดังนั้นควรต้องรับประทานผักสด ผลไม้สดเยอะๆ รวมถึงการทำน้ำแพลนท์สเตมเซลล์ดื่มทุกวัน  เพื่อเป็นวัตถุดิบให้กับทารก รวมถึงป้องกันภาวะกระดูกพรุนในมารดาด้วยยังไงล่ะคะ

        นอกจากข้อแนะนำที่ว่ามาแล้ว การรับประทานอาหาร พักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงการมีจิตใจที่ผ่องใสอยู่เสมอก็จะมีผลโดยตรงต่อทารกในครรภ์ด้วยเช่นกันนะคะ หากปฏิบัติตนตามคำแนะนำเชื่อมั่นได้เลยว่าทารกที่คลอดออกมาจะแข็งแรง ฉลาด และเท่าที่เก็บข้อมูลสถิติมาพบว่าน้ำหนักตัวของทารกตอนคลอดจะอยู่ที่ 3,000 กรัมขึ้นไปค่ะ มาดูแลคนที่เรารักอย่างถูกวิธีกันนะคะ
   
       


     
       
www.facebook.com/maximumlifeprobiotic

www.maxlifenetwork.com

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เรื่องจริงของเบาหวานที่หมอไม่ได้บอก




           
                           ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ และศูนย์เบาหวานศิริราช ในปี 2556 พบว่าประเทศไทยมีผู้ผู้ป่วยเบาหวานถึง 3.5 ล้านคน มูลค่าการรักษาถึง 47,000 ล้านบาท และเป็นที่ทราบกันดีว่าในผู้ป่วยเบาหวานนั้นมีโอกาสที่จะพัฒนาต่อไปเป็นโรคไตเนื่องจากการรับประทานยาต่อเนื่องนั่นเอง วันนี้เรามาทำความเข้าใจถึงกลไกของการเกิดโรคเบาหวานกันเถอะ เมื่อท่านเข้าใจก็สามารถป้องกันได้ง่ายขึ้น


         เมื่อพูดถึงโรค “เบาหวาน” เรากำลังหมายถึงการที่ร่างกายในส่วนของตับอ่อนนั้นทำงานไม่สมดุล ในแง่ของฮอร์โมน 2 ตัวด้วยกัน ส่วนปลายของตับอ่อนตอนบนนั้นเป็นที่ผลิตฮอร์โมน “อินซูลิน” ส่วนตอนล่างของตับอ่อนนั้นจะทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมน “กลูคากอน” ซึ่งฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้ต้องทำงานสมดุลเสมอ
            
           โดยที่ฮอร์โมน กลูคากอน จะเป็นตัวสั่งให้ “ตับใหญ่” ทำการแปลงสารอาหารที่สะสมไว้ในรูปของ “ไกลโคเจน” ให้เปลี่ยนเป็น น้ำตาล “กลูโคส” เพื่อเข้าสู่กระแสเลือด การที่ตับอ่อนจะมีคำสั่งผลิต กลูคากอน มากน้อยเท่าไรในแต่ละวันนั้นร่างกายจะมีข้อมูลอยู่ เช่น ผู้ที่ทำงานในห้องแอร์ มีความต้องการใช้กลูโคสน้อย ก็ผลิตน้อย ผู้ที่ทำงานกลางแจ้งหรือนักกีฬามีความต้องการใช้กลูโคสมาก ก็จะผลิตมากนั่นเอง การผลิตจะเป็นไปตามกระบวนการของร่างกายที่ใช้งาน เมื่อผลิตมาเท่าไรข้อมูลจะถูกส่งไปยังตับอ่อนตอนบนที่ทำหน้าที่ผลิต อินซูลิน  ให้พอเหมาะกับกลูโคสที่ผลิตได้เช่น ถ้าผลิตกลูโคส 200 หน่วย ก็จะผลิตอินซูลิน 200 หน่วย เพื่อให้สมดุลกัน โดยที่ อินซูลิน นั้นมีหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสไปให้ร่างกายใช้ และเป็นตัวพาน้ำตาลที่เหลือใช้ไปส่งให้กับ “ไต” เพื่อกรองน้ำตาลไปทิ้ง ขณะเดียวกันไตก็จะส่งน้ำตาลส่วนหนึ่งกลับไปสะสมไว้ที่ตับตามเดิม  ร่างกายจะมีกระบวนการเช่นนี้ เพื่อไม่ให้มีน้ำตาลคงเหลือในกระแสเลือดมากเกินไป เพราะน้ำตาลที่เหลือในกระแสเลือดนั้นจะทำให้เลือดมีความหนืด ทำให้เป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ไต ในที่สุด
            ด้วยเหตุนี้เมื่อไรก็ตามที่สมดุลของ ฮอร์โมนทั้ง 2 ตัวนี้ไม่สมดุลกันในกรณีของการเกิดโรคเบาหวานนั้นเนื่องมาจากการที่ ตับอ่อนผลิต อินซูลิน น้อยกว่า กลูคากอน จะส่งผลให้น้ำตาลกลูโคสที่ผลิตได้นั้นเหลือในกระเลือดจนเป็นเหตุแห่งโรคนั่นเอง

เรามักได้ยินว่าโรคเบาหวานนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ
ชนิดที่ 1 หรือ Type A นั้นเกิดจากการที่ร่างกายมีอินซูลินไม่เพียงพอจึงทำให้มีน้ำตาลในกระแสเลือดสูง ซึ่งได้กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้
ชนิดที่ 2 หรือ Type B นั้นทางการแพทย์เรียกเบาหวานชนิดนี้ว่าเป็นภาวะที่ร่างกาย “ดื้ออินซูลิน” หมายถึงอินซูลินที่ผลิตได้นั้นไม่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสได้นั่นเอง เนื่องจากโครงสร้างทางโมเลกุลของอินซูลินนั้นไม่สมบูรณ์ จึงไม่สามารถที่จะนำพาน้ำตาลกลูโคสได้ ส่งผลให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงด้วยเช่นกัน


       

             อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าโรคเบาหวานทั้งสองชนิดนั้นมีสาเหตุมาจากการทำงานที่ผิดปกติของตับอ่อนทั้งสิ้น ดังนั้นแนวทางในการฟื้นฟูโรคนั้นจึงมุงเน้นไปที่ตับอ่อนเป็นเป็นหลัก การใช้จุลชีพโดยเฉพาะใน ยีสต์ บางกลุ่มร่วมด้วยแร่ธาตุ “โครเมียม” ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ตับอ่อนใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิด นั้นจะไปช่วยให้ภาวะสมดุลของตับอ่อนค่อยๆคืนมา ส่วนในรายที่เป็นมานาน หรือมีภาวะดื้ออินซูลินนั้น การใช้จุลชีพร่วมกับ “สมุนไพร”บางชนิดกับโครเมียม ก็ให้ผลได้อย่างน่าเป็นที่พอใจ

www.maxlifenetwork.com
https://www.facebook.com/maximumlifeprobiotic

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เก๊าต์แก้ง่ายๆด้วยมังสวิรัติ

   ความเข้าใจ"ผิด"ที่ว่าเวลาปวดข้อหรือมีข้ออักเสบชนิดใดแล้วจะต้องอด "ของแสลง" เช่น หน่อไม้ สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ เป็นต้น ทั้งๆ ที่โรคปวดข้อทั่วไปหรือโรคข้ออักเสบชนิดอื่นๆ (นอกจากโรคเก๊าต์) ทั้งหมด นั้นยังมีความเข้าใจผิดกันอยู่พอสมควร

     วันนี้เรามาทำความเข้าใจถึงที่มาที่ไปของการเกิดโรคเกาต์กันก่อนนะคะ อาการของโรคเกาต์นั้นเกิดจากจากการที่ร่างกายไม่สามารถจัดการกับภาวะ "ยูริก" ได้ เนื่องมาจากไม่สามารถกำจัด"ยูเรีย" ซึ่งเกิดจากการสันดาปโปรตีนจากเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะจากสัตว์ปีกสัตว์สี่เท้า ซึ่งในกระบวนการสันดาปโปรตีนเหล่านี้จะเกิด "ยูเรียไนโตรเจน" ขึ้น เมื่อร่างกายกำจัดไม่หมด ก็จะเกิดการสะสมของยูเรีย ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กำจัดยูเรียไนโตรเจนไม่หมดคือการ "ดื่มน้ำน้อย" นั่นเอง เมื่อเกิดการสะสมมากขึ้นๆร่างกายก็ต้องหาที่เก็บ ที่แรกที่เอาไปเก็บก็คือบริเวณข้อเข้ายังไงล่ะคะ เมื่อเก็บมากขึ้นๆก็จะกลายเป็นผลึกเรียกว่า "ผลึกยูเรต" หรือ "ยูเรตคริสตัล" ทีนี้เมื่อเกิดปัจจัยกระตุ้นเช่น อากาศเย็น ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหดตัว ก็จะเกิดอาการปวด ซึ่งอันตรายมากในผู้สูงอายุที่อยู่ตัวคนเดียว เพราะจะปวดขนาดถึงกับเดินไม่ได้กันเลยทีเดียวค่ะ หรือเมื่อมีการสะสมของผลึกยูเรตมากๆ ทำให้ผลึกเหล่านี้ไปบาดกับเนื้อเยื่อ เกิดภาวะ "อักเสบ" ร่างกายก็จะส่งน้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงแต่เนื่องจากข้อเข้านั้นมีลักษณะพิเศษคือเป็น "ประตูกล" น้ำที่เข้าไปจะขังอยู่ในข้อเข้าและออกมาไม่ได้ จึงเป็นสาเหตุของการบวมเป่งที่ข้อเข่า เวลาที่ผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวเมื่อไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะเจาะเอาน้ำที่ขังอยู่ในข้อเข้านั้นออกผู้ป่วยก็หายปวด แต่อย่างไรก็ตามผลึกยูเรตนั้นยังไม่ได้ถูกกำจัดออกไปแต่อย่างใด และอาการก็จะทวีควมรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ 
     
       การรักษาโรคเกาต์นั้นทำได้ไม่ยากเลยค่ะ เพียงแต่ต้องอาศัยเวลาและการหักห้ามใจ งดทานเนื้อสัตว์ปีกสัตว์สี่เท้าเป็นเวลาอย่างน้อย 180 วันหรือ 6 เดือน แล้วหันมารับประทานมังสวิรัติแทน และควรทำควบคู่ไปกับการรับประทานผลิตภัณฑ์สมุนไพรบางชนิด เพื่อหลอกให้ร่างกายนั้นเข้าใจว่าอยู่ในภาวะ "ขาดแคลนยูเรีย" ร่างกายก็จะค่อยๆดึงเอาผลึกยูเรตมาเปลี่ยนเป็นยูเรียเพื่อใช้งาน ก็จะทำให้อาการของโรคเกาต์นั้นหายไปในที่สุดค่ะ

      ดังนั้นถ้าถามว่าอะไรเป็นของ "แสลง" สำหรับโรคนี้ ก็เห็นจะมีเพียงแค่โปรตีนจาก "สัตว์ปีกสัตว์สี่เท้า" เท่านั้นแหละค่ะ ที่สำคัญหมั่นดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้วหรือ 2 ลิตรด้วยนะคะ แค่นี้โรคเก๊าต์ ก็เอาอยู่ค่ะ


วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมื่อรู้สาเหตุของโรคมะเร็ง บอกเลย "มะเร็งไม่เป็นก็ได้" นะรู้ยัง??


       มีความพยายามมากมายที่จะอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดโรค "มะเร็ง" หนึ่งในนั้นก็มีสถาบันจอนส์ ฮอปกิ้นส์(สถาบันระดับโลกที่ได้รับการยอมรับในด้านการศึกษาโรคมะเร็ง) ที่ล่าสุดได้ออกมาแถลงผลการวิจัยผ่านทางวรสารทางการแพทย์ ซึ่งในครั้งนี้กลับให้คำตอบต่างไปจากครั้งที่ผ่านๆมา โดยออกมาบอกว่ามะเร็งนั้นเกิดจากความ "โชคร้าย" และไม่สามารถป้องกันได้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับลักษณะของการใช้ชีวิต หรือแม้กระทั่งพันธุกรรม เปิดดูคลิป https://www.youtube.com/watch?v=Gl0RAxekTwE

       ข้อเท็จจริงจากการวิจัยเชิงทดลองนั้น ได้อธิบายถึงสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างมีเหตุผลได้อย่างน่าสนใจ ว่าแท้ที่จริงแล้วสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งนั้นเกิดจาก

1 กระดูก ตรงแกนกลางของกระดูกเราเรียกว่า "ไขกระดูก" ซึ่งมีหน้าที่ผลิตเม็ดเลือดทั้งเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดง เมื่อไรก็ตามที่เกิดความผิดปกติขึ้นก็จะทำให้ผลิตเม็ดเลือดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเลือดแดงบางส่วนผิดปกติ

2 อนุมูลอิสระแท้จริง เม็ดเลือดที่ผิดปกตินั้นไม่สามารถผ่านกระบวนการคัดกรองของร่างกาย จึงไม่สามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ และมีการสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เม็ดเลือดพวกนี้ก็จัดเป็นเซลล์ที่มีชีวิตย่อมต้องการทั้งอาหารและที่อยู่เพื่อการการอยู่รอด จึงเคลื่อนย้ายไปยังส่วนต่างๆของร่างกายเราเรียกเม็ดเลือดที่ผิดปกติเหล่านี้ว่า "อนุมูลอิสระแท้จริง"

3 การแฝงตัวของอนุมูลอิสระแท้จริง เมื่ออนุมูลอิสระแท้จริงเหล่านี้เคลื่อนย้ายไปยังอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งและบริเวณมีเนื้อเยื่อที่มีภาวะเหมาะสม มันก็จะเข้าไปกินโปรตีนจากเซลล์เนื้อเยื่อบริเวณนั้น และเนื่องมันจากมีแอนติเจน(ปุ่มโปรตีนของเซลล์) ที่ตรงกันกับเซลล์ดีตรงนั้นก็เกิดการจับตัวกันขึ้น และมีการแลกเปลี่ยน DNA ที่ผิดปกติกันในที่สุด

4 การก่อตัวของเซลล์มะเร็ง จากการที่เซลล์ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระแท้จริง ทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นเกิดความเสียหาย ดังนั้นกลไกของร่างกายก็จะต้องทำการซ่อมแซมโดยการแบ่งตัวของเซลล์บริเวณนั้นนั่นเอง แต่เนื่องจากการแบ่งตัวในครั้งนี้เกิดจากเซลล์ที่มีการแลกเปลี่ยน DNA ที่ผิดปกติมาก่อนหน้า เซลล์ที่แบ่งตัวออกมาใหม่ก็มีความผิดปกติด้วยเช่นกัน เราเรียกเซลล์ที่ผิดปกติอันใหม่นี้ว่า "เซลล์มะเร็ง" 

       จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงนำไปสู่กระบวนการป้องกันมะเร็งที่น่าจะได้ผลเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือคุณจะต้องดูแลใน 2 ภาคส่วนด้วยกันคือ

1 ดูแลกระดูกให้แข็งแรง เป็นที่ทราบกันดีว่า "แคลเซียม" คือแร่ธาตุที่ใช้ในการบำรุงและดูแลกระดูก แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าแหล่งแคลเซียมที่ดีที่สุดนั้นอยู่ใน "โคลโรฟิล" หรือสารสีเขียวในพืช ดังนั้นควรหมั่นรับประทานผักสด ผลไม้สดเป็นประจำและในปริมาณที่มากพอ ท่านก็จะมีกระดูกที่แข็งแรง

2 ดูแลระบบภูมิคุ้มกันไมโครไบโอต้า(คลิปเรียนรู้ระบบภูมิคุ้มกัน) ซึ่งมี "โปรไบโอติก" เป็นองค์ประกอบหลัก และร่างกายใช้ระบบภูมิคุ้มกันนี้ถึง 80% ดังนั้นหากดูแลระบบไมโครไบโอต้าดี ก็จะส่งผลถึงระบบ "ออโต อิมมูน ซิสเตม" ให้ดีตามไปด้วย

        หากวันนี้คุณดูแลทั้ง 2 ปัจจัยที่ว่าให้กับตัวคุณเองและคนที่คุณรักได้อย่างดีขอบอกได้เลยว่าชีวิตนี้ "มะเร็งไม่เป็นก็ได้" 








วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ชัดเจนมาก! ความเกี่ยวดองอันน่าประหลาดใจและผลการทดลองอันน่าทึ่งเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้

           


          ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา และแพทย์ภูมิคุ้มกันวิทยาพยายามกันอย่างหนักที่จะเข้าใจมัน ปรากฎการณ์สำคัญอย่างหนึ่งคือ มีพื้นที่ในโลกที่มีคนป่วยเป็นโรคพวกนี้มากขึ้น ในขณะบางพื้นที่มีจำนวนน้อย และตัวเลขดังกล่าวไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้อมูลสถิติได้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์กันระหว่างโรคทั้งสองกับการใช้ยาปฏิชีวนะ แต่แล้วมันไปเกี่ยวข้องได้อย่างไรกันล่ะ

การทดลองอันแปลกประหลาด
          ในปี 2002 ด๊อกเตอร์ไมริ โนเวอร์ หนึ่งในนักวิจัยประจำห้องทดลอง ที่ศูนย์การแพทย์มิชิแกนทำการวิจัยเกี่ยวกับยีสต์ แคนดิด้า อัลบิคันส์ ซึ่งมีการค้นพบก่อนหน้านี้โดยนักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัยว่า ยีสต์ตัวนี้สามารถหลั่งสารเคมีที่ทำให้เกิดการสื่อสารกับระบบภูมิคุ้กันของเราได้  ตามปกติยีสต์พวกนี้จะมีจำนวนน้อยในร่างกายมนุษย์ แต่เนื่องจากทนทานต่อยาปฏิชีวนะได้ จึงทำให้มันสามารถเพิ่มจำนวนมากขึ้น ในขณะที่จุลินทรีย์พวกอื่นถูกทำลายไปด้วยยาปฏิชีวนะที่รับประทานเข้าไปเพื่อบำบัดโรค 
          ข้อมูลทางสถิติแสดงความเกี่ยวข้องระหว่างการได้รับยาปฏิชีวนะกับการเกิดโรคหอบหืดภูมิแพ้นั้น กระตุ้นให้ด๊อกเตอร์แกรี่ บี. ฮัฟฟ์นาเกิล(ผู้วิจัยเจ้าของหนังสือ Probiotics Revolution) เกิดความอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหนูที่ได้รับยาปฏิชีวนะ พวกหนูควรจะมีจำนวนยีสต์เพิ่มมากขึ้น และยีสต์นั้นก็ควรจะหลั่งสารเคมีออกมามากขึ้นด้วย ในขณะที่จำนวนของ โปรไบโอติก(คลิกเพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติม)น่าจะต้องลดลง สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างยาปฏิชีวนะและโรคภูมิแพ้
          นักวิจัยจำนวนมากหาทางทำให้หนูเกิดอาการแพ้ในระบบทางเดินหายใจได้แล้ว แต่วิธีเหล่านี้ต้องปรับยีนหรือฉีดสารเข้าไปในร่างกายของหนูเพื่อกระตุ้นให้เกิดอาการ ยังไม่มีมีใครสามารถทำให้หนูเกิดอาการภูมิแพ้อย่างที่มนุษย์เป็นได้ กล่าวคือ แบบที่เกิดอาการเมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมหนึ่งแล้วหายใจเอาสารหรือสิ่งที่แพ้เข้าไป 
          ผู้ร่วมงานของด๊อกเตอร์แกรี่ บี. ฮัฟฟ์นาเกิลบางคนรวมถึง ดร.ไมริ โนเวอร์ ต่างก็เชื่อว่าหนูมีจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้ที่ช่วยไม่ให้เกิดอาการภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ จึงได้ออกแบบการทดลองโดยแบ่งหนูเป็น 2 กลุ่ม
          กลุ่มที่ 1 ได้รับการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าไปเพื่อหวังจะทำลายจุลินทรีย์ในลำไส้ของหนูหรืออย่างน้อยก็ทำให้จุลินทรีย์พวกนั้นมีจำนวนลดลง
          กลุ่มที่ 2 ไม่ได้รับยา
หลังจากหนูกลุ่มแรกได้รับยาเป็นเวลาครบ 5 วัน หนูทั้งหมดก็ถูกนำไปไว้ในที่ซึ่งมีสิ่งก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้หนูหายใจเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าไปเป็นเวลา 2 สัปดาห์
          ผลลัพธ์ที่ได้น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะพวกหนูที่ไม่ได้รับยาปฏิชีวนะไม่มีอาการใด ในขณะที่หนูซึ่งได้รับยาปฏิชีวนะกลับแสดงอาการของภูมิแพ้ในระบบทางเดินหายใจ การทดลองของเรายืนยันว่าจุลชีพในลำไส้มีผลกระทบต่อกากรตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย หลังจากมีผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแล้ว การค้นพบที่น่าตื่นเต้นนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร “การติดเชื้อและภูมิคุ้มกัน” (Infection and Immunity) ซึ่งเป็นวารสารเฉพาะทางด้านการวิจัยโรคติดเชื้อของสมาคมจุลชีววิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (American Society for Microbiology)

ความสัมพันธ์ของโปรไบโอติก
         หลักการด้านภูมิคุ้มกันในปัจจุบันได้เปิดทางให้กับการปฏิวัติของโปรไบโอติก การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเปรียบได้กับการทำงานของคันเร่งและเบรกในรถยนต์ เมื่อกดคันเร่ง ระบบภูมิคุ้มกันจะตอบสนองทำให้เกิดการบวมอักเสบเพื่อกันและทำลายเป้าหมาย และอาการนี้จะเกิดต่อๆไปจนกระทั่งมีการเหยียบเบรกเพื่อยุติ มิฉะนั้นแล้วปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันจะดำเนินต่อไปจนก่อความเสียหายเจ็บป่วยเป็นโรคแทนที่จะป้องกันมัน
         เป็นที่รู้แน่ชัดจากการทดลองของเราแล้วว่า การทำลายโปรไบโอติกในลำไส้จะไปกระตุ้นคันเร่งของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น การมีมันอยู่ก็เท่ากับการติดเบรกให้กับระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้ทำงานว่องไวเกินจำเป็น



Credit: The Probiotics Revolution
            Gary B. Huffnagle, Ph.D.
            Sarah Wernick เขียน
            บุญส่ง รักวิริยะ แปล

www.maxlifenetwork.com
www.facebook.com/maximumlifeprobiotic
เรียนรู้ระบบภูมิคุ้มกัน

วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

6 ข้อที่ควรปฏิบัติ แล้วคุณจะนอนหลับง่ายขึ้น zzZ zzZ !!!





           การนอนหลับเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้คน ถ้ามีโอกาสเลือกได้คนเราจะเลือกที่นอนที่สบายที่สุดให้กับตัวเองเสมอ แต่ในบางครั้งแม้ว่าห้องนอนจะสบายสักเพียงใดก็ตาม ก็ยังมีผู้ที่ประสบกับปัญหาภาวะ "นอนไม่หลับ" หรือนอนหลับยาก บางรายถึงขั้นจะต้องพึ่งพา ยานอนหลับ เพื่อช่วยให้นอนหลับ แต่เมืื่อใช้ไปนานๆก็จะเกิดการดื้อยาถึงแม้จะรับประทานยานอนหลับก็ไม่สามารถนอนหลับได้เช่นเดิม ปัจจัยทางกายภาพที่มีความสำคัญที่สุดต่อการนอนหลับคือฮอร์โมน เมลาโทนิน  ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดนี้เพื่อให้ร่างกายนอนหลับ ในเด็กจะมีการหลั่ง เมลาโทนิน มากกว่าในผู้สูงอายุดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่ระดับของ เมลาโทนิน นั้นน้อยหรือไม่มีการหลั่งเกิดขึ้นก็จะส่งผลโดยตรงต่อการนอนหลับนั่นเอง กระนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลต่อคุณภาพของการนอน ต่อไปนี้คือ... การทำให้นอนหลับของคุณง่ายขึ้น

1 ดื่มนมไม่พร่องมันเนยผสมน้ำผึ้ง การที่ร่างกายจะผลิตฮอร์โมน เมลาโทนิน ได้นั้นต้องอาศัยวัตถุดิบในการผลิต "ไขมันนม" จากนมที่ไม่พร่องไขมัน กับ แลคโทสและฟลุกโทส ในน้ำผึ้ง จะเป็นแหล่งวัตถุดิบที่ดีที่สุดในการผลิต เมลาโทนิน ดังนั้นในผู้ที่นอนหลับยากลองดื่มนมผสมน้ำผึ้ง ปริมาณ 1 แก้วก่อนนอน ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 7-15 วันและดื่มติดต่อกันเป็นประจำ ก็จะทำให้นอนหลับได้ง่ายโดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ

การออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้การนอนหลับดี
ขึ้น มีผลงานวิจัยมากมายที่ยืนยันว่า การออกกำลังกายทุกวันอย่าง
้อยครั้งละ 20-30 นาทีหรืออย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็สามารถช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรออกกำลังกายหลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน อย่างไรก็ตามควรออกกำลังกายให้ห่างจากช่วงเข้านอน อย่างน้อย 3 ชั่วโมงเพราะการออกกำลังกาย ใกล้ช่วงเข้านอนมากเกินไปจะยิ่งทำให้ร่างกายตื่นตัว คุณภาพการนอนก็จะไม่ดีตามไปด้วย

3 ไม่ควรงีบหลับในตอนเย็น หากเกิดอาการง่วงนอนในเวลาที่ไม่ใช่เวลาเข้านอน โดยเฉพาะในตอนเย็น ควรอดทนรอให้ถึงเวลาเข้านอนเพราะการงีบจะทำให้ร่างกายรู้สึกว่าได้รับการพักผ่อนแล้วกลางคืนจะยิ่งหลับยากมากขึ้

 งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม โกโก้ เพราะสารนิโคตินและคาเฟอีนจะไปกระตุ้นการทำงานของสมอง จึงมีผลโดยตรงต่อการนอนไม่หลับ

5 การรับประทานอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเย็น หรือ อาหารมื้อหนักก่อนเข้านอนควรเว้นระยะเวลาทานอาหารเย็นกับเวลาก่อนเข้านอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมงเพราะการรับประทานอาหารใกล้เวลานอนจะทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักเพื่อย่อยอาหาร ส่งผลให้เกิดการนอนที่ไม่มีคุณภาพ จนนำไปสู่การนอนไม่หลับได้หากมีอาการหิวจริงๆก่อนเข้านอน แนะนำว่าควรทานอาหารเบาๆเท่านั้น เช่น นมอุ่นๆผสมน้ำผึ้ง

6 จัดห้องนอนให้เหมาะสม ห้องนอนที่ดีควรมีอุณหภูมิที่พอดี มีเครื่องนอนเช่น หมอนและผ้าห่มที่สร้างความสบายและผ่อนคลายนอนในห้องที่ไม่มีเสียงดังรบกวนจนเกินไป ควรนอนในห้องที่มืดสนิทไม่ควรนอนเปิดไฟหรือโทรทัศน์

อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับนั้น จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาในการปรับสมดุลของร่างกาย ดังนั้นควรปฏิบัติอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือน และจะได้ผลอย่างยั่งยืนหากปฏิบัติได้ 6 เดือนขึ้นไป